วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดช๊อคโกเล็ตซิสต์ที่รังไข่

 

Source:https://www.womensultrasoundspecialists.melbourne/endometriosis-assessment

                เมื่อปี 2564 มีอยู่เดือนนึงที่หลังประจำเดือนหมดแล้วมีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย ปวดหน่วงๆ แบบว่าทำกิจวัตรประจำวันไม่สะดวก ตอนนั้นในใจคิดว่ามันผิดปกติแล้วแหละ ไม่ใช่อาการปวดประจำเดือนแบบที่เคย แล้วประจำเดือนหมดแล้ว จะปวดอะไรอีก เดือนกุมภา 2564 ไปหาหมอที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง คุณหมอจับขึ้นขาหยั่งทำอัลตราซาวด์ ตรวจพบช๊อคโกแลตซีสต์ขนาด 1 cm ที่รังไข่ข้างซ้าย อ้าปากหวออยู่ชั่วขณะตอนหมอย้ำว่ามันคือช๊อคโกเลตซีสต์จริงๆ หมอบอกไม่ต้องกังวลมันรักษาได้ ส่วนรังไข่ข้างขวาปกติดี มดลูกสวยดี หมอบอกอย่างนั้น คริคริ ยิ้มมุมปากไปหนึ่งที ตรวจเสร็จหมอก็ให้ลงมา แล้วมาคุยแผนการรักษากัน แผนการรักษาคือทานฮอน์โมนและยาคุม เราอึ้งไปพักนึง คำถามเกิดขึ้นในใจว่าแล้วมันจะกระทบอะไรกับซีสต์ที่หน้าอกที่เรามีอยู่มั๊ย แล้วก็บอกหมอว่า "เอ่อ...เอ่อ...คุณหมอคะ หนูมีความกังวลค่ะ หนูมีซีสต์ถุงน้ำที่เต้านมทั้ง 2 ข้าง เกรงกว่าถุงน้ำมันจะเยอะขึ้น อีกอย่างแม่หนูเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านมและเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน หนูไม่อยากทานฮอร์โมนและยาคุมคะ" หมอบอกว่างั้นลองไปทานดูเซ็ตนึงก่อน เผื่อมันยุบ แล้วก็มาพบหมอทุกๆ 3 เดือน มาอัลตราซาวด์ดูขนาดว่าเล็กหรือใหญ่ขึ้นอย่างไร กลับบ้านมาแบบมึนๆ พร้อมถุงยา วันที่หาหมอประมาณช่วงต้นกุมภา หมอให้เริ่มทานฮอร์โมนประมาณวันที่ 10 กพ. ก่อนจะถึงวันที่ 10 มีความแบบว่าสองจิตสองใจ ลังเล ทานดีมั๊ยนะ คิดอยู่ทุกวัน ถึงวันที่ 10 ตกลงใจได้ว่า เอาหน่ะ....ลองดูซักตั้ง อีก 3 เดือนไปตรวจใหม่แล้วค่อยบอกหมอว่าจะทานต่อหรือพอแค่นี้ ทานไปได้ 3 วัน ลืมจ้า ลืมทานวันถัดมา 555 จบคะ แล้วก็ไม่ได้ทานต่อ เลยทานมังสวิรัตแทนจนถึงวันหาหมออีกครั้ง เพื่อจะทดสอบว่าเนื้อสัตว์มีผลมั๊ยกับการเจริญเติบโตของช๊อคโกเลตซีสต์ ปรากฎว่าการตรวจครั้งที่ 2 ขนาดโตขึ้นนิดนึง แต่เพิ่มเติมคือเจอถุงน้ำที่รังไข่ข้างขวาด้วย เป็นถุงน้ำแบบใสๆ แล้วเราก็สารภาพกะหมอว่าลืมทานยาคะ คิดว่าถ้าต้องทานทุกวันไม่เวิร์คเพราะความขี้หลงขี้ลืม ก็เลยตกลงกะหมอว่าไม่ทานยานะคะ ขอแค่ monitor ทุกๆ 6 เดือนคะ

                เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตรวจทุกๆ 6 เดือน ช๊อคโกเลตซีสต์ขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบว่า 6 เดือน เพิ่มมา 0.5cm ไม่มีอาการปวดประจำเดือนมากจนผิดปกติ อาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยด้านซ้ายมาๆ ไปๆ กระทั่งเดือนกันยา 2566 ปวดท้องน้อยตลอดเวลาและทุกวัน เดินลงน้ำหนักเท้ามากก็กระเทือนถึงตรงที่ปวด เลยไปหาหมอก่อนถึงวันนัด  ณ วันนั้นขนาดช๊อคโกเลตซีสต์ประมาณ 2.7cm หมอบอกว่าจะผ่าตัดกันก็ต่อเมื่อ 5cm วันนั้นกลับบ้านมาพร้อมยาแก้ปวดประจำเดือนที่แรงกว่าพอลแสตน แล้วก็ monitor ต่อไป หลังจากนั้นมีอาการเพิ่มมาคือนอนตะแคงซ้ายไม่ได้จ้า จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ตรงรังไข่

                เรามาคิดๆ ดูว่าถ้าทุกๆ 6 เดือนเพิ่ม 0.5cm ก็น่าจะได้ผ่าตัดเอาออกปี 2568 ก็เลยคิดที่ต้องย้าย รพ. ไปอยู่ที่เดียวกับที่ที่มีประวัติการรักษาถุงน้ำที่เต้านมดีกว่า คิดจนกระทั่งเอารังไข่ข้างซ้ายออกไปเลยดีมั๊ย เพราะไม่คิดมีลูกอยู่แล้ว google หาข้อมูลโรคนี้ ชื่อทางการอย่างยาว "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่" หรือ " Endometriosis" หาอ่านวิธีรักษา การผ่าตัด ประสบการณ์ที่คนอื่นมาแชร์ไว้ในพันทิพ ดูวีดิโอยูทูป จากการหาข้อมูลตัวเราค่อนข้างอยากที่จะตัดรังไข่ออก ปลายกันยา 2566 ก็ทำเรื่องย้ายประวัติไปรักษาที่ รพ.ศิริราชปิยะฯ ทำนัดเพื่อพบหมอ เพื่อนที่ทำงานให้ชื่อหมอมา 2 คน เราทำการบ้านมาแล้วว่าจะตรวจกับคนไหน ก็ระบุชื่อหมอเลยตอนทำนัด อาทิตย์ถัดมามาตรวจ เล่าอาการให้หมอฟัง ทำอัลตาซาวด์เหมือนเดิม รอบนี้ช๊อคคะ เจอว่าข้างรังไข่ข้างขวาก็มีช๊อคโกเลตซีสต์เช่นกัน ด้านขวาจะอยู่หลังมดลูก ด้านซ้ายอยู่ด้านหน้ามดลูก ขนาดเกือบ 3cm จากที่จะมาปรึกษาเรื่องตัดรังไข่ซ้าย มาเจอด้านขวาด้วย เลยหยุดความคิดเรื่องการตัดรังไข่ เพราะเราไม่อยากตัด 2 ข้าง คุณหมอบอกว่าถ้าขนาดมาถึง 2-3cm เนี่ยทานยาก็ไม่ยุบแล้ว หมอแนะนำผ่าตัดส่องกล้อง รับรองหายปวดท้องแน่นอน ขอเวลาหมอ 1 สัปดาห์สำหรับตัดสินใจ.....กลับไปบอกหมอว่าตกลงหนูผ่าคะ.....ก็เลยทำนัดผ่าตัด ได้คิว 18 พย. 2566 ทางรพ.ประเมินค่าใช้จ่ายให้ประมาณ 250,000 บาท (นอน รพ. 2-3 วัน) เลยยื่นบัตรประกัน 3 ใบให้เจ้าหน้าที่ไปเช็คสิทธิ์เคลม พยาบาลพรินท์เอกสารการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดมาให้ มีงดพวกวิตามิน แล้วก็ก่อนผ่าตัด 2 วันต้องทานของอ่อนๆ ห้ามทานผักผลไม้เด็ดขาด

                หลังรู้วันผ่าตัดแล้ว อาการปวดท้องน้อยมันไม่มีทุกวันเหมือนเดือนกันยา อาการมาๆ ไปๆ แต่ยังนอนตะแคงไม่ได้เหมือนเดิม เกิดความลังเลในใจว่าจะผ่าดีมั๊ย ความกลัวการผ่าตัดก็มาเพราะเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต ค้นหาวิดิโอในยูทูปของต่างประเทศดูว่าเขาผ่าตัดส่องกล้องกันอย่างไร การเตรียมตัว อาการหลังผ่า พักฟื้นนานมั๊ย ยังหาข้อมูลต่อไป เดือนตค. 2566 ปวดท้องช่วงมีประจำเดือนมากกว่าปกติแบบว่าต้องทานยา ปวดท้องน้อยมากขึ้นแต่ไม่ตลอดเวลาแต่ทุกวัน บางอริยาบถเช่นนั่งกับเดินจะปวด เดือนพย. 2566 ปวดท้องประจำเดือนมากเหมือนเดือนตค. ต้องทานยาแก้ปวด การเดินนี่ต้องเดินเบาๆ เดินลงส้นเท้าไม่ได้ จะปวดท้องน้อย นอนเฉยๆ ก็รู้สึกถึงความปวดหน่วงๆ ที่รังไข่ ยิ่งใกล้วันผ่าขึ้น ความลังเลลดลงเรื่อยๆ เพราะอาการปวดเยอะขึ้น และอาการเหล่านั้นที่มีก็เป็นตอกย้ำว่าคิดถูกแล้วแหละ ผ่าตัดไปเถอะ จะรอให้ซิสต์แตกหรือซิสต์บิดขั้วหรือทนปวดไปทำไม ความกลัวและอาการ panic ก็ดีขึ้น เนื่องจากมีเวลาทำใจ ทำสมาธิ สวดมนต์

                ก่อนเข้าแอดมิดสายมูอย่างเราไม่พลาดที่จะมาขอพรให้การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แล้วก็เผื่อพวงมาลัยมาวางหัวเตียงด้วยอีก 1 พวง เสร็จแล้วก็ไปแอดมิดเข้า รพ. มีพยาบาลมาสอบถามเรื่องการใช้ยา การงดวิตามิน ระหว่างรอห้องก็ไปเอ็กซเรย์ปอด พอขึ้นห้องแล้วก็เจาะเลือดและตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นอันเสร็จกระบวนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด สั่งอาหารเย็นมาทานให้อร่อย ปล่อยใจชิลๆ จอยๆ หลัง 2 ทุ่มก็งดน้ำ เตรียมตัวเข้านอน แต่ดั๊นต้องมาตื่นกลางดึกเพราะปวดหัวมายเกรนตอนตี 2 กดเรียกพยาบาลขอยามายเกรน หลังจากนั้นก็หลับยาวถึงตีห้า
                ห้องผ่าตัดมารับตั้งแต่ตี 5.45 น. ลงไปเตรียมตัวที่ห้องผ่าตัดชั้นล่าง พยาบาลทำความสะอาดและโกนขนที่บริเวณที่จะทำการผ่าตัดส่องกล้อง เสร็จก็ลากเตียงเข้าบริเวณรอผ่าตัด มีพยาบาลมาซักถามให้เซ็นเอกสาร หมอวิสัญญีมาอธิบายขั้นตอนการวงยาสลบและสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ความกลัวเริ่มกลับมา ได้แต่ภาวนาสวดมนต์ให้ใจร่มๆ แล้วหมอเจ้าของไข้ก็มาซักถามความพร้อมและย้ำว่าวันนี้เราจะผ่าตัดส่องกล้องเอาช๊อคโกเล็ตซีสต์ออกมาจากรังไข่ทั้ง 2 ข้าง หลังจากนั้นก็ถูกนำเข้าห้องผ่าตัด หมอวิสัญญีมาแจ้งว่าเริ่มใส่ยาเข้าสายน้ำเกลือแล้ว เดี๋ยวจะเริ่มภาพเบลอ แล้วหมอก็บอกให้หายใจลึกๆ 2 ทีพร้อมเอาหน้ากากอ็อกซิเจนมาครอบจมูก หลังจากนั้นภาพก็ดับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หมอมาสกิดและบอกว่าผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยตอนที่มาอยู่ห้องพักฟื้น เหลือบตาดูนาฬิกาที่ผนังห้อง 9.30 น. เอง เริ่มผ่า 7.00 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.นิดๆ นอนเฝ้าดูอาการต่อ 1 ชม.  แล้วค่อยกลับห้องพัก
                24 ชม.แรกหลังผ่าตัดคุณหมอให้ใส่สายปัสสาวะ ให้ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบ ไม่รู้สึกปวดแผลเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะได้ยาแก้ปวด ท้องป่องมากๆ เหมือนลูกโป่ง และมีอาการปวดบ่าไหล่ เป็นอาการข้างเคียงของการอัดแก๊สเข้าไปตอนผ่าตัด หลังถอดสายปัสสาวะและน้ำเกลือเราก็ใส่แบบกางเกงอนามัยของโซฟี ใส่สบายนุ่มมาก เพราะหลังผ่าเสร็จจะมีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการปกติ แล้วจะค่อยๆ หยุดไปเอง สักพักหมอมาเยี่ยมไข้และบอกถึงการผ่าตัด เอารูปมาให้ดูว่าเกิดอะไรในท้องเราบ้าง หมอบอกว่ามดลูกสวยมาก ผนังมดลูกก็ปกติไม่หนา ความพีคคือหลังจากนี้คะ หมอบอกว่าตอนเอากล้องเข้าไปก็เจอว่าซีสต์ข้างซ้ายได้แตกไปแล้ว เลือดประจำเดือนกระจายอยู่อวัยวะข้างใน บางจุดสามารถจี้กำจัดรอยโรคได้ บางจุดทำไม่ได้ เช่น กระเพาะปัสสาวะที่ผนังบาง จี้แล้วเดี๋ยวกระเพาะปัสสาวะรั่ว เอารอยโรคออกมากที่สุดที่หมอทำได้ และหมอบอกว่าเราต้องทานฮอร์โมนระงับประจำเดือนไปจนประจำเดือนหมด เพื่อป้องกันการกลับมาของโรค หมอนังบอกอีกว่าถ้ามันกลับมามีโอกาสเป็นมะเร็งนะจ๊ะ หมอจึงอยากให้ทาน หมอรู้ถึงความกังวลของเรากับผลข้างเคียงฮอร์โมนที่อาจจะกระทบกับถุงน้ำที่เต้านม หมอเลือกฮอร์โมนตัวที่เป็นธรรมชาติทึ่สุด และจะไม่ทำให้เป็นทะเร็งเต้านม หมอบอกแบบนี้แล้วก็ใจชื้นและคลายกังวล สะดวกใจที่จะทานฮอร์โมนตามแผนการรักษา แล้วหมอก็เซ็นให้กลับบ้านได้ เรานอนรพ. ทั้งหมด 48 ชม. นี่เป็นข้อดีของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ไม่ต้องอยู่ รพ. นาน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 180,000 บาท

                 หลังกลับมาบ้านก็ต้องดูแลแผลให้ดี แผลมี 4 จุดดังรูป ห้ามแผลโดนน้ำจนกว่าหมอจะเปิดแผล หมอติดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ให้และนัดดูแผลอาทิตย์ถัดไป อาการท้องป่องๆ หายไปในวันที่ 14  เลือดที่ออกทางช่องคลอดหมดไปในวันที่ 7 การขับถ่ายที่แปลปวนกลับมาปกติในวันที่ 18 ลุกเดินนั่งแบบไม่เจ็บแผลหายไปในวันที่ 21 มีอาการเจ็บจี๊ดๆ แป๊บๆ ที่รังไข่เพิ่มมาหลังวันที่ 14 วัน มีนัดหาหมอเพื่อปรึกษาอาการนี้วันที่ 24 ธค. แล้วจะมาเล่าต่อนะคะทุกคน To be continue......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น