วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เชียงราย Day 1| Coffee workshop at Leehu Farm

                

       ทริปแรกของปี 2566 ขึ้นเหนือไปรับลมหนาวกันซะหน่อย ไหนๆ ก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอก คิดว่าทริปนี้เราจะได้เอาเสื้อหนาวออกมาใช้บ้าง มาลุ้นกันว่าจะหนาวซักกี่องศากัน จะเลขตัวเดียวมั๊ย หรือจะแค่สิบกว่าๆ  สมาชิกทริปนี้มี 4 คน พวกเราเดินทางช่วงวันที่ 13-15 มกราคม 2566 การเดินทางไปเชียงรายครั้งนี้ เราใช้ไมล์แลกตั๋วเครื่องบิน ไปกับสายการบินที่รักคุณเท่าฟ้า แต่ราคาเหมือนคนเกลียดกัน 555 ทริปนี้หลักๆ แล้วเราไปทำ workshop เกี่ยวกับกาแฟที่ Leehu Coffer Farm กิจกรรมจะอยู่แต่ในไร่ มีไปดูพระอาทิตย์ตกที่ดอยช้างในวันที่ 2 เป็นกิจกรรมเดียวที่ได้ออกนอกไร่  คิดไปคิดมาจะไปแค่ทำ workshop อย่างเดียวก็ดูจะไม่คุ้ม ไหนๆ ก็ขึ้นไปเชียงรายแล้วและเป็นครั้งแรกของเราสองพี่น้อง อยากไปเที่ยวที่อื่นๆ ด้วย เลยเลือกเที่ยวบินเช้าสุดสำหรับขาไปและเที่ยวบินดึกสำหรับขากลับ โดยจะแวะเที่ยวก่อนเข้าไร่กาแฟและหลังเสร็จจาก workshop 

        แพคเกจ workshop ราคาอยู่ที่ 4900 บาทต่อคน สำหรับ 3 วัน 2 คืน ในราคานี้รวมที่พัก 2 คืน อาหารเย็น 2 มื้อ อาหารกลางวัน 1 มื้อ และกิจกรรมต่างๆของ workshop พร้อมรถรับส่งจาก Leehu Cafe ในตัวเมืองเชียงรายมาที่ฟาร์ม กิจกรรมของ workshop ในแต่ละวันมีดังนี้ วันที่ 1 ทำความรู้จักกับสายพันธุ์ของต้นเชอร์รี่ เก็บเชอร์รี่ และฟาร์มทัวร์ วันที่ 2 เรียนรู้กระบวนแปรรูปจากเม็ดเชอรี่สู่เมล็ดกาแฟ การคั่วกาแฟ พาชมพระอาทิตย์ตกที่ดอยช้าง วันที่ 3 สอนทำพิซซ่า จบกิจกรรมแล้วจะได้กาแฟกลับบ้านคนละถุง อย่างที่บอกว่าพวกเราอยากแวะเที่ยวก่อนเข้าฟาร์ม เลยไม่ได้ใช้บริการรถรับส่งของฟาร์ม เราจองรถพร้อมคนขับไว้วันละ 2500 บาท ราคานี้รวมค่าน้ำมันแล้ว พอเที่ยวเสร็จก็ให้รถไปส่งที่ฟาร์มก่อนบ่ายสาม 

    หลังเท้าเหยียบสนามบินก็ออกเดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ มาค่ะได้เวลาเสพงานศิลปะกันแล้ว เรือนไม้สีดำที่อยู่ด้านหน้าสวยงามมากทีเดียว ด้านในมีภาพเขียน รูปปั้นไม้แกะสลัก ของหายากหลายอย่างเช่น หนังจระเข้ ผ่านเรือนไม้หลังแรก เดินเข้ามาก็เจอเรือนไม้อีกหลายหลัง กว้างขวางพอสมควร เดินชมจนเหนื่อยแล้วก็แวะทานไอศครีมเพิ่มพลังกันได้ มีรสชาร์โคลด้วยเข้ากับคอนเซ็ปของสถานที่





            มื้อแรกของทริปต้องอาหารเหนือเท่านั้น บอกคนขับรถว่าอยากทานข้าวซอยกับขนมจีนน้ำเงี้ยว คนขับแนะนำร้านใกล้ๆ บ้านดำ ซึ่งมีทั้งข้าวซอยและขนมจีนน้ำเงียว ขอบอกว่าผักกาดดองร้านนี้ดองเอง อร่อยมากๆ แบบต้องขอเพิ่ม ร้านนี้รายการอาหารค่อนข้างหลากหลาย เลยสั่งอาหารทานเล่นเพิ่มอีก 2 อย่างคือปอเปี๊ยะทอด กับหมูทอดพื้นเมือง (ขออภัยจำชื่อเมนูนี้ไม่ได้ ขอเรียกหมูทอดพื้นเมืองแทน) ลักษณะเหมือนไส้กรอก ในความรู้สึกเรามันคล้ายๆ หมูแหนมเนืองแต่สีเข้มกว่า

ข้าวซอย มีทั้งไก่น่องและไก่ฉีก

ปอเปี๊ยะทอด

หมูทอดพื้นเมือง

         หลังจากทานอาหารเสร็จก็ไปวัดทำบุญกันค่ะ ที่หมายคือวัดห้วยปลากั้ง ในบริเวณวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ อาคารทรงคล้ายเก๋งจีน รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนเนินเขา และอาคารที่เป็นโบสถ์ ตรงรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมจะเดินขึ้นบันไดเองก็ได้ หรือจะใช้บริการรถรับส่งก็ได้ ด้านบนตัวรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมนั้นมีจุดชมวิว สามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวด้านบนโดยเสียค่าเข้าชม 20 บาท ด้านบนตกแต่งด้วยรูปปั้นแกะสลักสีขาว ด้วยความที่ทุกสิ่งขาวไปหมด เรารู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ยังไงยังงั้นเลย


ชั้นบนขององค์เจ้าแม่กวนอิม
  
            เที่ยวหอมปากหอมคอได้ 2 ที่ เสร็จจากที่วัดได้เวลาขึ้นดอยไปฟาร์ม Leehu กันแล้ว กิจกรรมที่ฟาร์มเริ่มบ่ายสาม เราต้องไปถึงให้ทันคะ เดี๋ยวคนอื่นๆ จะมองตาขวางถ้าเราไปถึงช้า พอถึงก็เช็คอิน เอากระเป๋าเข้าห้องพัก แล้วก็ออกมารอที่ร้านกาแฟของฟาร์ม หยิบตะกร้าคนละใบ สะพายหลัง ไปเก็บเมล็ดกาแฟกันค่า




            เจ้าของฟาร์มเริ่มแนะนำตัว ประวัติความเป็นมาของฟาร์ม สายพันธ์ุของเมล็ดกาแฟที่ปลูก ปีนี้ต้นเชอร์รี่ออกผลน้อย ต้นไม่ค่อยดก มีให้เก็บไม่เยอะ ที่นี่มี 2 สายพันธ์ุคืออาราบิก้าสีแดงและอาราบีก้าสีเหลือง เจ้าของขู่ว่าถ้าเก็บไม่เต็มตะกร้าไม่ให้ทานข้าว (ล้อเล่น) ก็เก็บกันขำๆ สนุกๆ แหละ ผ่านโซนต้นเชอร์รี่ ก็เจอแปลงผักสลัดที่ใช้ทำอาหารในฟาร์มและส่งขายโครงการหลวงด้วย มีแปลงสตอเบอรี่ซึ่งเจ้าของให้เก็บกินได้ด้วย แต่ก็ไม่กล้ากินแบบไม่ล้างถึงแม้จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีใดๆ ก็ตาม








            เดินอ้อมบึงกลางฟาร์มมาบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ กิจกรรมปิดท้ายของวันนี้คือให้อาหารหมูดำกัน คิดในใจว่าเขาจะเอาหมูนี้มาทำอาหารมื้อเย็นให้เราทานมั๊ยเน้อ เสร็จจากนี้ก็แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย พอแดดหุบแล้วอากาศเย็นลงมาก ต่างกลับกลางวันโดยสิ้นเชิง บรรยากาศในฟาร์มดี๊ดี กระโจมริมบึงที่เห็นในรูปข้างล่างพักได้ 4-6 คน ถ้าสั่งหมูกระทะ ก็จะเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ กระโจมเลย เป็นส่วนตัวดี มื้อเย็นวันนี้รวมอยู่ในแพคเกจแล้วซึ่งจะเป็นอาหารพื้นเมืองชนเผ่าอาข่า ดูรูปกันเลยว่าน่าทานขนาดไหน เสิร์ฟเป็นแบบไลน์บุฟเฟ่นะคะ ตักกันได้ตามใจชอบ ขอบอกน้้ำพริกแมคคาดิเมียอร่อยม๊ากกกกกก ติดใจถึงขนาดเดินไปถามพนักงานว่ามีใส่กระปุกขายให้ซื้อกลับบ้านมั๊ย




            กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายเข้าที่พัก นัดกับเพื่อนจะออกมาดูดาวกันคืนนี้ จบวันแรกเท่านี้นะคะ เดี๋ยว Day 2 จะตามมาเร็วๆ นี้ รอดูกันว่ากิจกรรมจะแน่นและสนุกขนาดไหน 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น