วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดช๊อคโกเล็ตซิสต์ที่รังไข่

 

Source:https://www.womensultrasoundspecialists.melbourne/endometriosis-assessment

                เมื่อปี 2564 มีอยู่เดือนนึงที่หลังประจำเดือนหมดแล้วมีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย ปวดหน่วงๆ แบบว่าทำกิจวัตรประจำวันไม่สะดวก ตอนนั้นในใจคิดว่ามันผิดปกติแล้วแหละ ไม่ใช่อาการปวดประจำเดือนแบบที่เคย แล้วประจำเดือนหมดแล้ว จะปวดอะไรอีก เดือนกุมภา 2564 ไปหาหมอที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง คุณหมอจับขึ้นขาหยั่งทำอัลตราซาวด์ ตรวจพบช๊อคโกแลตซีสต์ขนาด 1 cm ที่รังไข่ข้างซ้าย อ้าปากหวออยู่ชั่วขณะตอนหมอย้ำว่ามันคือช๊อคโกเลตซีสต์จริงๆ หมอบอกไม่ต้องกังวลมันรักษาได้ ส่วนรังไข่ข้างขวาปกติดี มดลูกสวยดี หมอบอกอย่างนั้น คริคริ ยิ้มมุมปากไปหนึ่งที ตรวจเสร็จหมอก็ให้ลงมา แล้วมาคุยแผนการรักษากัน แผนการรักษาคือทานฮอน์โมนและยาคุม เราอึ้งไปพักนึง คำถามเกิดขึ้นในใจว่าแล้วมันจะกระทบอะไรกับซีสต์ที่หน้าอกที่เรามีอยู่มั๊ย แล้วก็บอกหมอว่า "เอ่อ...เอ่อ...คุณหมอคะ หนูมีความกังวลค่ะ หนูมีซีสต์ถุงน้ำที่เต้านมทั้ง 2 ข้าง เกรงกว่าถุงน้ำมันจะเยอะขึ้น อีกอย่างแม่หนูเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านมและเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน หนูไม่อยากทานฮอร์โมนและยาคุมคะ" หมอบอกว่างั้นลองไปทานดูเซ็ตนึงก่อน เผื่อมันยุบ แล้วก็มาพบหมอทุกๆ 3 เดือน มาอัลตราซาวด์ดูขนาดว่าเล็กหรือใหญ่ขึ้นอย่างไร กลับบ้านมาแบบมึนๆ พร้อมถุงยา วันที่หาหมอประมาณช่วงต้นกุมภา หมอให้เริ่มทานฮอร์โมนประมาณวันที่ 10 กพ. ก่อนจะถึงวันที่ 10 มีความแบบว่าสองจิตสองใจ ลังเล ทานดีมั๊ยนะ คิดอยู่ทุกวัน ถึงวันที่ 10 ตกลงใจได้ว่า เอาหน่ะ....ลองดูซักตั้ง อีก 3 เดือนไปตรวจใหม่แล้วค่อยบอกหมอว่าจะทานต่อหรือพอแค่นี้ ทานไปได้ 3 วัน ลืมจ้า ลืมทานวันถัดมา 555 จบคะ แล้วก็ไม่ได้ทานต่อ เลยทานมังสวิรัตแทนจนถึงวันหาหมออีกครั้ง เพื่อจะทดสอบว่าเนื้อสัตว์มีผลมั๊ยกับการเจริญเติบโตของช๊อคโกเลตซีสต์ ปรากฎว่าการตรวจครั้งที่ 2 ขนาดโตขึ้นนิดนึง แต่เพิ่มเติมคือเจอถุงน้ำที่รังไข่ข้างขวาด้วย เป็นถุงน้ำแบบใสๆ แล้วเราก็สารภาพกะหมอว่าลืมทานยาคะ คิดว่าถ้าต้องทานทุกวันไม่เวิร์คเพราะความขี้หลงขี้ลืม ก็เลยตกลงกะหมอว่าไม่ทานยานะคะ ขอแค่ monitor ทุกๆ 6 เดือนคะ

                เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตรวจทุกๆ 6 เดือน ช๊อคโกเลตซีสต์ขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบว่า 6 เดือน เพิ่มมา 0.5cm ไม่มีอาการปวดประจำเดือนมากจนผิดปกติ อาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยด้านซ้ายมาๆ ไปๆ กระทั่งเดือนกันยา 2566 ปวดท้องน้อยตลอดเวลาและทุกวัน เดินลงน้ำหนักเท้ามากก็กระเทือนถึงตรงที่ปวด เลยไปหาหมอก่อนถึงวันนัด  ณ วันนั้นขนาดช๊อคโกเลตซีสต์ประมาณ 2.7cm หมอบอกว่าจะผ่าตัดกันก็ต่อเมื่อ 5cm วันนั้นกลับบ้านมาพร้อมยาแก้ปวดประจำเดือนที่แรงกว่าพอลแสตน แล้วก็ monitor ต่อไป หลังจากนั้นมีอาการเพิ่มมาคือนอนตะแคงซ้ายไม่ได้จ้า จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ตรงรังไข่

                เรามาคิดๆ ดูว่าถ้าทุกๆ 6 เดือนเพิ่ม 0.5cm ก็น่าจะได้ผ่าตัดเอาออกปี 2568 ก็เลยคิดที่ต้องย้าย รพ. ไปอยู่ที่เดียวกับที่ที่มีประวัติการรักษาถุงน้ำที่เต้านมดีกว่า คิดจนกระทั่งเอารังไข่ข้างซ้ายออกไปเลยดีมั๊ย เพราะไม่คิดมีลูกอยู่แล้ว google หาข้อมูลโรคนี้ ชื่อทางการอย่างยาว "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่" หรือ " Endometriosis" หาอ่านวิธีรักษา การผ่าตัด ประสบการณ์ที่คนอื่นมาแชร์ไว้ในพันทิพ ดูวีดิโอยูทูป จากการหาข้อมูลตัวเราค่อนข้างอยากที่จะตัดรังไข่ออก ปลายกันยา 2566 ก็ทำเรื่องย้ายประวัติไปรักษาที่ รพ.ศิริราชปิยะฯ ทำนัดเพื่อพบหมอ เพื่อนที่ทำงานให้ชื่อหมอมา 2 คน เราทำการบ้านมาแล้วว่าจะตรวจกับคนไหน ก็ระบุชื่อหมอเลยตอนทำนัด อาทิตย์ถัดมามาตรวจ เล่าอาการให้หมอฟัง ทำอัลตาซาวด์เหมือนเดิม รอบนี้ช๊อคคะ เจอว่าข้างรังไข่ข้างขวาก็มีช๊อคโกเลตซีสต์เช่นกัน ด้านขวาจะอยู่หลังมดลูก ด้านซ้ายอยู่ด้านหน้ามดลูก ขนาดเกือบ 3cm จากที่จะมาปรึกษาเรื่องตัดรังไข่ซ้าย มาเจอด้านขวาด้วย เลยหยุดความคิดเรื่องการตัดรังไข่ เพราะเราไม่อยากตัด 2 ข้าง คุณหมอบอกว่าถ้าขนาดมาถึง 2-3cm เนี่ยทานยาก็ไม่ยุบแล้ว หมอแนะนำผ่าตัดส่องกล้อง รับรองหายปวดท้องแน่นอน ขอเวลาหมอ 1 สัปดาห์สำหรับตัดสินใจ.....กลับไปบอกหมอว่าตกลงหนูผ่าคะ.....ก็เลยทำนัดผ่าตัด ได้คิว 18 พย. 2566 ทางรพ.ประเมินค่าใช้จ่ายให้ประมาณ 250,000 บาท (นอน รพ. 2-3 วัน) เลยยื่นบัตรประกัน 3 ใบให้เจ้าหน้าที่ไปเช็คสิทธิ์เคลม พยาบาลพรินท์เอกสารการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดมาให้ มีงดพวกวิตามิน แล้วก็ก่อนผ่าตัด 2 วันต้องทานของอ่อนๆ ห้ามทานผักผลไม้เด็ดขาด

                หลังรู้วันผ่าตัดแล้ว อาการปวดท้องน้อยมันไม่มีทุกวันเหมือนเดือนกันยา อาการมาๆ ไปๆ แต่ยังนอนตะแคงไม่ได้เหมือนเดิม เกิดความลังเลในใจว่าจะผ่าดีมั๊ย ความกลัวการผ่าตัดก็มาเพราะเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต ค้นหาวิดิโอในยูทูปของต่างประเทศดูว่าเขาผ่าตัดส่องกล้องกันอย่างไร การเตรียมตัว อาการหลังผ่า พักฟื้นนานมั๊ย ยังหาข้อมูลต่อไป เดือนตค. 2566 ปวดท้องช่วงมีประจำเดือนมากกว่าปกติแบบว่าต้องทานยา ปวดท้องน้อยมากขึ้นแต่ไม่ตลอดเวลาแต่ทุกวัน บางอริยาบถเช่นนั่งกับเดินจะปวด เดือนพย. 2566 ปวดท้องประจำเดือนมากเหมือนเดือนตค. ต้องทานยาแก้ปวด การเดินนี่ต้องเดินเบาๆ เดินลงส้นเท้าไม่ได้ จะปวดท้องน้อย นอนเฉยๆ ก็รู้สึกถึงความปวดหน่วงๆ ที่รังไข่ ยิ่งใกล้วันผ่าขึ้น ความลังเลลดลงเรื่อยๆ เพราะอาการปวดเยอะขึ้น และอาการเหล่านั้นที่มีก็เป็นตอกย้ำว่าคิดถูกแล้วแหละ ผ่าตัดไปเถอะ จะรอให้ซิสต์แตกหรือซิสต์บิดขั้วหรือทนปวดไปทำไม ความกลัวและอาการ panic ก็ดีขึ้น เนื่องจากมีเวลาทำใจ ทำสมาธิ สวดมนต์

                ก่อนเข้าแอดมิดสายมูอย่างเราไม่พลาดที่จะมาขอพรให้การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แล้วก็เผื่อพวงมาลัยมาวางหัวเตียงด้วยอีก 1 พวง เสร็จแล้วก็ไปแอดมิดเข้า รพ. มีพยาบาลมาสอบถามเรื่องการใช้ยา การงดวิตามิน ระหว่างรอห้องก็ไปเอ็กซเรย์ปอด พอขึ้นห้องแล้วก็เจาะเลือดและตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นอันเสร็จกระบวนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด สั่งอาหารเย็นมาทานให้อร่อย ปล่อยใจชิลๆ จอยๆ หลัง 2 ทุ่มก็งดน้ำ เตรียมตัวเข้านอน แต่ดั๊นต้องมาตื่นกลางดึกเพราะปวดหัวมายเกรนตอนตี 2 กดเรียกพยาบาลขอยามายเกรน หลังจากนั้นก็หลับยาวถึงตีห้า
                ห้องผ่าตัดมารับตั้งแต่ตี 5.45 น. ลงไปเตรียมตัวที่ห้องผ่าตัดชั้นล่าง พยาบาลทำความสะอาดและโกนขนที่บริเวณที่จะทำการผ่าตัดส่องกล้อง เสร็จก็ลากเตียงเข้าบริเวณรอผ่าตัด มีพยาบาลมาซักถามให้เซ็นเอกสาร หมอวิสัญญีมาอธิบายขั้นตอนการวงยาสลบและสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ความกลัวเริ่มกลับมา ได้แต่ภาวนาสวดมนต์ให้ใจร่มๆ แล้วหมอเจ้าของไข้ก็มาซักถามความพร้อมและย้ำว่าวันนี้เราจะผ่าตัดส่องกล้องเอาช๊อคโกเล็ตซีสต์ออกมาจากรังไข่ทั้ง 2 ข้าง หลังจากนั้นก็ถูกนำเข้าห้องผ่าตัด หมอวิสัญญีมาแจ้งว่าเริ่มใส่ยาเข้าสายน้ำเกลือแล้ว เดี๋ยวจะเริ่มภาพเบลอ แล้วหมอก็บอกให้หายใจลึกๆ 2 ทีพร้อมเอาหน้ากากอ็อกซิเจนมาครอบจมูก หลังจากนั้นภาพก็ดับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หมอมาสกิดและบอกว่าผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยตอนที่มาอยู่ห้องพักฟื้น เหลือบตาดูนาฬิกาที่ผนังห้อง 9.30 น. เอง เริ่มผ่า 7.00 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.นิดๆ นอนเฝ้าดูอาการต่อ 1 ชม.  แล้วค่อยกลับห้องพัก
                24 ชม.แรกหลังผ่าตัดคุณหมอให้ใส่สายปัสสาวะ ให้ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบ ไม่รู้สึกปวดแผลเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะได้ยาแก้ปวด ท้องป่องมากๆ เหมือนลูกโป่ง และมีอาการปวดบ่าไหล่ เป็นอาการข้างเคียงของการอัดแก๊สเข้าไปตอนผ่าตัด หลังถอดสายปัสสาวะและน้ำเกลือเราก็ใส่แบบกางเกงอนามัยของโซฟี ใส่สบายนุ่มมาก เพราะหลังผ่าเสร็จจะมีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการปกติ แล้วจะค่อยๆ หยุดไปเอง สักพักหมอมาเยี่ยมไข้และบอกถึงการผ่าตัด เอารูปมาให้ดูว่าเกิดอะไรในท้องเราบ้าง หมอบอกว่ามดลูกสวยมาก ผนังมดลูกก็ปกติไม่หนา ความพีคคือหลังจากนี้คะ หมอบอกว่าตอนเอากล้องเข้าไปก็เจอว่าซีสต์ข้างซ้ายได้แตกไปแล้ว เลือดประจำเดือนกระจายอยู่อวัยวะข้างใน บางจุดสามารถจี้กำจัดรอยโรคได้ บางจุดทำไม่ได้ เช่น กระเพาะปัสสาวะที่ผนังบาง จี้แล้วเดี๋ยวกระเพาะปัสสาวะรั่ว เอารอยโรคออกมากที่สุดที่หมอทำได้ และหมอบอกว่าเราต้องทานฮอร์โมนระงับประจำเดือนไปจนประจำเดือนหมด เพื่อป้องกันการกลับมาของโรค หมอนังบอกอีกว่าถ้ามันกลับมามีโอกาสเป็นมะเร็งนะจ๊ะ หมอจึงอยากให้ทาน หมอรู้ถึงความกังวลของเรากับผลข้างเคียงฮอร์โมนที่อาจจะกระทบกับถุงน้ำที่เต้านม หมอเลือกฮอร์โมนตัวที่เป็นธรรมชาติทึ่สุด และจะไม่ทำให้เป็นทะเร็งเต้านม หมอบอกแบบนี้แล้วก็ใจชื้นและคลายกังวล สะดวกใจที่จะทานฮอร์โมนตามแผนการรักษา แล้วหมอก็เซ็นให้กลับบ้านได้ เรานอนรพ. ทั้งหมด 48 ชม. นี่เป็นข้อดีของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ไม่ต้องอยู่ รพ. นาน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 180,000 บาท

                 หลังกลับมาบ้านก็ต้องดูแลแผลให้ดี แผลมี 4 จุดดังรูป ห้ามแผลโดนน้ำจนกว่าหมอจะเปิดแผล หมอติดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ให้และนัดดูแผลอาทิตย์ถัดไป อาการท้องป่องๆ หายไปในวันที่ 14  เลือดที่ออกทางช่องคลอดหมดไปในวันที่ 7 การขับถ่ายที่แปลปวนกลับมาปกติในวันที่ 18 ลุกเดินนั่งแบบไม่เจ็บแผลหายไปในวันที่ 21 มีอาการเจ็บจี๊ดๆ แป๊บๆ ที่รังไข่เพิ่มมาหลังวันที่ 14 วัน มีนัดหาหมอเพื่อปรึกษาอาการนี้วันที่ 24 ธค. แล้วจะมาเล่าต่อนะคะทุกคน To be continue......

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

เชียงราย Day 3 | Coffee workshop at Leehu Farm

             

            มาถึงวันสุดท้ายของ workshop แล้ว ชิลๆ ไม่มีกิจกรรมอะไรมาก ทานข้าวเช้าเสร็จก็มาทำพิซซ่า ตอนแรกนึกว่าจะเริ่มตั้งแต่ทำแป้งพิซซ่าเลยแต่ไม่ใช่ พนักงานผสมแป้งมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมให้พวกเราได้ลงมือคลึงแป้ง ทำให้แบนตามขนาดของถาด โรยเครื่องบนแป้ง โดยพนักงานเขาจะเตรียมเครื่องไว้ให้ เราก็ใช้ความครีเอทีฟตกแต่งหน้าพิซซ่าได้ตามใจชอบ เสร็จแล้วก็เอาเข้าเตาอบ พนักงานจะคอยดูพิซซ่าในเตาให้ ระหว่างรอพิซซ่าสุกพวกเราก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นกันเป็นการฆ่าเวลา

            หลังจากทานพิซซ่ากันเสร็จก็แยกย้ายกันเก็บข้าวเก็บของเตรียมเช็คเอ้าท์ ไปรับกาแฟที่ได้กลับบ้านคนละถุง แล้วก็แอบขอสูตรน้ำพริกมะคาเดเมียของชาวอาข่าจากเจ้าของฟาร์มมาด้วย เขียนสูตรให้แต่ไม่บอกสัดส่วน 555 เข้าใจแหละ เราก็ปากหนักไม่กล้าถามว่าใส่อะไรเท่าไหร่ เขาให้สูตรก็บุญแล้ว ทีนี้ได้สูตรมาแล้ว ถ้าไม่มีถั่วก็ทำไม่ได้ใช่มิ ก็ถามเจ้าของฟาร์มว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหน เขาบอกว่าบริเวณไม่ไกลจากฟาร์มมีขาย พอเราออกมาจากฟาร์มไม่ไกล เจอวิสาหกิจชุมชนที่แปรรูปมะคาเดเมียดอยช้าง เดินตรงไปที่ออฟฟิสถามหาถั่ว พนักงานชี้ให้เดินไปทางคาเฟ่ด้านหลัง คาเฟ่เค้าใช้นมแมคคาดิเมียในการชงกาแฟด้วย น้องพนักงานโคตรใจดี อุ่นนมร้อนๆ ให้ชิม เป็นครั้งแรกที่ได้ดื่มนมมะคาเดเมีย คือมันๆ นัวๆ อร่อยดีคะลืมนมอัลมอนด์ไปได้เลย ยังไม่พอน้องพนักงานยังแกะถั่วมะคาเดเมียรสชาติต่างๆ ให้ชิมด้วย ลองดูรูปข้างล่างนะคะ ปริมาณที่น้องเค้าใส่จานให้ชิมเยอะมาก พิซซ่ายังไม่ทันย่อยเลย ไม่สามารถชิมได้หมดนี่  เลยอุดหนุนซื้อกลับบ้านไปหลายถุงเลย ถือเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วย 

นมแมคคาดาเมีย

แพคเกจน่าร๊าก น่าดื่ม

ถั่วแมคคาดาเมียรสธรรมชาติและรสน้ำผึ้ง

ถั่วแมคคาดาเมียรสวาซาบิและเกลือ
            หลังจากออกจากวิสาหกิจชุมชนแหล่งนี้ มติเอกฉันท์จากเพื่อนร่วมทริปทุกคนว่าจะข้ามมื้อกลางวันกันค่า ที่ต่อไปที่พวกเราจะแวะคือ Akha Farmville กำลังเป็นที่นิยม ช่วงก่อนเดินทางมาเชียงรายเห็นคนโพสต์ลงในโซเซียลเยอะมาก ก็เลยต้องแวะสักหน่อย บัตรเข้าชม 100 บาท ได้น้ำฟรี 1 แก้ว คนอย่างเยอะในช่วงเราไป เรียกได้ว่าคนมากกว่าแกะ คิดว่าคนที่เข้าชมคงต้องให้อาหารแกะกันเยอะพอสมควร แต่น้องแกะดูเหมือนยังไม่อิ่ม หยิบแครอทให้แทบไม่ทัน น้องจะมางับจากมือเลย อย่างเสียว กลัวน้องแกะจะได้นิ้วเราเข้าท้องไปด้วย เลยบอกกับน้องสาวว่าให้คนละจานพอนะ มันเสียวนิ้วเหลือเกิน

บรรยากาศดีมาก
น้องแกะช่วยลืมตาด้วยคะ
อาหารให้แกะจานละ 20 บาท
หลบแดดกันเหรอจ๊ะ
            มาภาคเหนือหน้าหนาว ต้องไม่พลาดที่จะแวะสวนดอกไม้ พวกเรามาที่สวนไฮเดรนเยียซังที่ดอยแม่มอญ เคยได้ยินแต่ชื่อไฮเดรนเยียมาเนิ่นนาน คราวนี้ได้มาเห็นดอกจริงๆ ความสวยของมันอยู่ที่แต่ละต้นสีของดอกไม่เหมือนกัน ออกโทนฟ้าๆ ม่วงๆ มีขาวแซมบ้างในบางดอก มาหน้าหนาวแต่กลางวันแดดแรงทำให้ดอกไม้บางส่วนเหี่ยวกลายเป็นสีน้ำตาล ถ้าจะถ่ายรูปกับดอกไม้ก็ต้องเดินหามุมดีๆ ที่ดอกยังคงสมบูรณ์อยู่ ดั๊นมาผิดเวลาเลยได้รูปไม่เยอะ แนะนำให้มาช่วงเช้าหรือไม่ก็เย็นไปเลยหลังบ่ายสี่โมงไรงี้ ค่าเข้าชมสวนราคาไม่แพงนะคะ ประมาณ 60-80 บาท จำราคาแป๊ะๆ ไม่ได้ ได้น้ำเปล่าฟรี 1 ขวดด้วยคะ 




            แวะไปชะโงกที่สิงห์ปาร์คกันสักนิด ไม่ได้แพลนจะมาเที่ยวเป็นจริงเป็นจัง เข้ามาดูว่ามีไรให้ทำบ้างไว้พาครอบครัวมาเที่ยวครั้งหน้า คนขับพาไปตรงจุดชมวิวใกล้ๆร้านภูภิรมย์ เห็นวิวไร่ชาแบบพาโนรามาเลย วิวดีมาก ยืนชมบรรยากาศและสูดอากาศบริสุทธิ์สักพัก(ช่วงนี้ยังไม่เริ่มเผาป่ากัน) ขาออกจากไร่แวะถ่ายรูปกับเจ้าสิงห์สีทองสักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง  แต่พอเหลือบไปเห็นคนเยอะแยะเลยขอผ่าน ไว้ครั้งหน้าละกันนะ

            ที่หมายถัดไปคือวัดร่องขุ่น เป็นสถานที่ที่อยู่ในลิสต์ที่ต้องมาให้ได้สักครั้งหนึ่ง คนรอบข้างที่เคยไปมาบอกเสียงเดียวกันว่าวัดนี้สวยมาก พอมาเห็นด้วยตัวเองก็อึ้งไปเลย สวยจริงไม่จกตา สถาปัตยกรรมงดงามปราณีตมาก ไม่แปลกใจที่เป็นแลนด์มาร์คของเชียงราย หันซ้ายหันขวาเจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากมายเข้าเยี่ยมชม ชอบสวนด้านในที่มีน้ำตกจำลองให้ความร่มรื่นและได้ความเย็นจากน้ำตก เป็นจุดพักเหนื่อยที่ดีหลังจากเดินเที่ยวรอบวัด

            ยังพอมีเวลาเหลือ ไปเที่ยวได้อีกที่ก่อนไปสนามบิน ไปปิดทริปนี้ที่วัดร่องเสือเต้นกันคะ วัดนี้เป็นอีกหนึ่งที่ที่มีคนเชียร์ให้มาชมความสวยงาม วัดนี้ให้ความรู้สึกแปลกตาจากโทนสีที่วัดใช้ สร้างความโดดเด่นให้วัดจนวัดมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าวัดสีน้ำเงิน วัดมีซุ้มประตูสุดอลังการที่สร้างเป็นพญานาคท้าวมุจลินทร์และปุ่ศรีสุทโธด้านหน้าวัด ใครเป็นสายบูชาพญานาคต้องไม่พลาด พอเริ่มมืดวัดจะเปิดไฟสวยมากๆ เราพลาดเพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่องกลับ กทม. เลยไม่ได้อยู่ดู เลยอยากจะแนะนำให้เพื่อนๆ มาช่วงเย็นและอยู่จนค่ำเพื่อชมความสวยงามของวัดในยามค่ำคืน วัดนี้ปิด 20.00 น. นะคะ

            จบทริปแล้วจ้า ทริป 3 วัน 2 คืนที่กิจกรรมแน่นๆ เลยต้องแบ่งเขียนเป็น 3 วัน เป็นการมาเชียงรายครั้งแรกที่แสนประทับใจ แล้วพบกันใหม่นะ...เชียงราย ไว้จะกลับมาสัมผัสมนต์สเน่ห์บนดอยอีกครั้ง ครั้งหน้าเจอกันไร่ชาจ้า ...See you again Chiangrai...

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566

เชียงราย Day 2 | Coffee workshop at Leehu Farm

                       ช่วงตีห้าถึงหกโมงเช้าของวันนี้อุณหภูมิลงไปถึงเลขตัวเดียวประมาณ 8-9 องศา ดีใจมากได้ใช้เสื้อหนาวที่เตรียมมา ด้วยความที่อากาศเย็นมื้อเช้าเลยอยากทานอะไรร้อนๆ เลยเลือกข้าวต้มหมูและกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เติมพลังก่อนเริ่มกิจกรรมของวันนี้

อาหารเช้า
            หลังจากเก็บผลเชอร์รี่สุกมาเมื่อวาน วันนี้เราจะได้เห็นกระบวนการทั้งหมดจนถึงการสี คั่ว บด สกัด ออกมาเป็นกาแฟ 1 แก้ว จากคำอธิบายของเจ้าของฟาร์ม กระบวนการผลิตกาแฟมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่
            1. Dry process คือการนำผลเชอรี่สุกที่คัดแล้วมาตากแห้ง แล้วกะเทาะเปลือกออก วิธีนี้ใช้เวลานานกว่าอีก 2 วิธี
            2. Wet or washed process เป็นวิธีที่ฟาร์มนี้เขาใช้ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน หลังจากเก็บผลเชอร์รี่มาก็มาแช่น้ำไว้ คัดผลที่ลอยน้ำออกซึ่งเป็นผลที่ไม่สมบูรณ์อาจจะไม่สุกดีหรือแมลงเจาะเป็นรู หลังจากนั้นก็เข้าเครื่องลอกเปลือก และเอาเมือกออก แล้วนำไปตากแห้ง
            3. Honey process คล้ายกับวิธีที่ 2 แต่ข้ามขั้นตอนการเอาเมือกออก

แผนที่ในฟาร์ม
ผลเชอร์รี่มีพันธุ์สีเหลืองด้วย
ปล่อยผลเชอร์รี่ออกจากบ่อแช่

ผลเชอร์รี่กำลังเดินทางไปเข้าเครื่องลอกเปลือก

เครื่องลอกเปลือก

บ่อกำจัดเมือก

หลังจากเอาเมือกออกแล้ว

                มาดูกันว่าเมล็ดกาแฟที่ได้จากกระบวนการต่างๆ หน้าตาที่ได้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่กำลังตากแห้ง จากรูปข้างล่างเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของสี สำหรับคนรักการดื่มกาแฟอย่างเราถือเป็นการเปิดโลกอย่างมาก จากที่ไม่เคยรู้กระบวนการเหล่านี้เลย พอได้มาดูมาเห็นเลยก็ตื่นตาตื่นใจในทุกๆ ขั้นตอน

                ไปตากแดดดูเมล็ดกาแฟที่ตากแห้งแล้ว กิจกรรมถัดไปขอหลบแดดบ้าง ไปหาที่ร่มๆ คัดเมล็ดกาแฟกันค่า ก่อนนำไปคั่วในช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่เทให้คัดคนละกระจาดเลย มีแอบขู่ด้วย ถ้าคัดไม่เสร็จไม่ได้ทานข้าวกลางวันนะ 555 อ่ะนะก็ล้อเล่นกันขำๆ 

คัดเมล็ดกาแฟ
             อาหารกลางวันรวมอยู่ในแพคเกจแล้ว มีสลัดผัก สปาเก็ตตี้เลือกตามใจชอบคนละจาน เครื่องดื่มชากาแฟก็เลือกได้คนละแก้ว ไปแอบถ่ายสปาเก็ตตี้ของที่เพื่อนๆ สั่ง หน้าตาหน้าทานมาก อร่อยทุกอย่างด้วย 




            ถัดจากมื้อกลางวันก็ไปดูวิธีการคั่วกาแฟและชิมกาแฟ เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วมาสีจะเหมือนๆ กันหมด จะใช้สีบ่งบอกว่ามาจากกระบวนผลิตแบบใดไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้ลองดมกลิ่นและเดาดูว่ากลิ่นไหนมาจากกระบวนการผลิตแบบใด มีคนทายถูกด้วย ลองแยกความต่างจากกลิ่นกันแล้ว ถัดมาก็มาชิมรสชาติและเดากระบวนการผลิตดู เจ้าหน้าที่จะชงใส่แก้วไว้ให้ เดินชิมรอบโต๊ะทุกแก้ว ปรากฎว่าทายถูกแค่ครึ่งเดียว 555 ปล.ทางฟาร์มจะให้กาแฟคั่วกลับบ้านคนละถุง เลือกตามใจชอบเลยอยากได้แบบไหนกลับบ้าน




                ชิมเสร็จแล้วก็ไปชงกาแฟกันต่อ ทุกคนจะได้ลองเป็นบาริสต้ากัน เทลาเต้อาร์ทกันคนละแก้ว มาดูกันว่าครั้งแรกในชีวิต จะรอดมั๊ย 555 ไม่รอดจ้า ได้หัวใจเบี้ยวๆ มา  
                กิจกรรมสุดท้ายของ Day 2 คือดูพระอาทิตย์ตกที่ดอยช้าง แล้วค่อยกลับมาทานมื้อเย็นที่รอคอย....หมูกระทะ...นั่นเอง อยู่บนดอย อากาศเย็นแบบนี้ คิดเมนูอื่นไม่ได้เลย ต้องหมูกระทะเท่านั้น












วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เชียงราย Day 1| Coffee workshop at Leehu Farm

                

       ทริปแรกของปี 2566 ขึ้นเหนือไปรับลมหนาวกันซะหน่อย ไหนๆ ก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอก คิดว่าทริปนี้เราจะได้เอาเสื้อหนาวออกมาใช้บ้าง มาลุ้นกันว่าจะหนาวซักกี่องศากัน จะเลขตัวเดียวมั๊ย หรือจะแค่สิบกว่าๆ  สมาชิกทริปนี้มี 4 คน พวกเราเดินทางช่วงวันที่ 13-15 มกราคม 2566 การเดินทางไปเชียงรายครั้งนี้ เราใช้ไมล์แลกตั๋วเครื่องบิน ไปกับสายการบินที่รักคุณเท่าฟ้า แต่ราคาเหมือนคนเกลียดกัน 555 ทริปนี้หลักๆ แล้วเราไปทำ workshop เกี่ยวกับกาแฟที่ Leehu Coffer Farm กิจกรรมจะอยู่แต่ในไร่ มีไปดูพระอาทิตย์ตกที่ดอยช้างในวันที่ 2 เป็นกิจกรรมเดียวที่ได้ออกนอกไร่  คิดไปคิดมาจะไปแค่ทำ workshop อย่างเดียวก็ดูจะไม่คุ้ม ไหนๆ ก็ขึ้นไปเชียงรายแล้วและเป็นครั้งแรกของเราสองพี่น้อง อยากไปเที่ยวที่อื่นๆ ด้วย เลยเลือกเที่ยวบินเช้าสุดสำหรับขาไปและเที่ยวบินดึกสำหรับขากลับ โดยจะแวะเที่ยวก่อนเข้าไร่กาแฟและหลังเสร็จจาก workshop 

        แพคเกจ workshop ราคาอยู่ที่ 4900 บาทต่อคน สำหรับ 3 วัน 2 คืน ในราคานี้รวมที่พัก 2 คืน อาหารเย็น 2 มื้อ อาหารกลางวัน 1 มื้อ และกิจกรรมต่างๆของ workshop พร้อมรถรับส่งจาก Leehu Cafe ในตัวเมืองเชียงรายมาที่ฟาร์ม กิจกรรมของ workshop ในแต่ละวันมีดังนี้ วันที่ 1 ทำความรู้จักกับสายพันธุ์ของต้นเชอร์รี่ เก็บเชอร์รี่ และฟาร์มทัวร์ วันที่ 2 เรียนรู้กระบวนแปรรูปจากเม็ดเชอรี่สู่เมล็ดกาแฟ การคั่วกาแฟ พาชมพระอาทิตย์ตกที่ดอยช้าง วันที่ 3 สอนทำพิซซ่า จบกิจกรรมแล้วจะได้กาแฟกลับบ้านคนละถุง อย่างที่บอกว่าพวกเราอยากแวะเที่ยวก่อนเข้าฟาร์ม เลยไม่ได้ใช้บริการรถรับส่งของฟาร์ม เราจองรถพร้อมคนขับไว้วันละ 2500 บาท ราคานี้รวมค่าน้ำมันแล้ว พอเที่ยวเสร็จก็ให้รถไปส่งที่ฟาร์มก่อนบ่ายสาม 

    หลังเท้าเหยียบสนามบินก็ออกเดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ มาค่ะได้เวลาเสพงานศิลปะกันแล้ว เรือนไม้สีดำที่อยู่ด้านหน้าสวยงามมากทีเดียว ด้านในมีภาพเขียน รูปปั้นไม้แกะสลัก ของหายากหลายอย่างเช่น หนังจระเข้ ผ่านเรือนไม้หลังแรก เดินเข้ามาก็เจอเรือนไม้อีกหลายหลัง กว้างขวางพอสมควร เดินชมจนเหนื่อยแล้วก็แวะทานไอศครีมเพิ่มพลังกันได้ มีรสชาร์โคลด้วยเข้ากับคอนเซ็ปของสถานที่





            มื้อแรกของทริปต้องอาหารเหนือเท่านั้น บอกคนขับรถว่าอยากทานข้าวซอยกับขนมจีนน้ำเงี้ยว คนขับแนะนำร้านใกล้ๆ บ้านดำ ซึ่งมีทั้งข้าวซอยและขนมจีนน้ำเงียว ขอบอกว่าผักกาดดองร้านนี้ดองเอง อร่อยมากๆ แบบต้องขอเพิ่ม ร้านนี้รายการอาหารค่อนข้างหลากหลาย เลยสั่งอาหารทานเล่นเพิ่มอีก 2 อย่างคือปอเปี๊ยะทอด กับหมูทอดพื้นเมือง (ขออภัยจำชื่อเมนูนี้ไม่ได้ ขอเรียกหมูทอดพื้นเมืองแทน) ลักษณะเหมือนไส้กรอก ในความรู้สึกเรามันคล้ายๆ หมูแหนมเนืองแต่สีเข้มกว่า

ข้าวซอย มีทั้งไก่น่องและไก่ฉีก

ปอเปี๊ยะทอด

หมูทอดพื้นเมือง

         หลังจากทานอาหารเสร็จก็ไปวัดทำบุญกันค่ะ ที่หมายคือวัดห้วยปลากั้ง ในบริเวณวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ อาคารทรงคล้ายเก๋งจีน รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนเนินเขา และอาคารที่เป็นโบสถ์ ตรงรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมจะเดินขึ้นบันไดเองก็ได้ หรือจะใช้บริการรถรับส่งก็ได้ ด้านบนตัวรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมนั้นมีจุดชมวิว สามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวด้านบนโดยเสียค่าเข้าชม 20 บาท ด้านบนตกแต่งด้วยรูปปั้นแกะสลักสีขาว ด้วยความที่ทุกสิ่งขาวไปหมด เรารู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ยังไงยังงั้นเลย


ชั้นบนขององค์เจ้าแม่กวนอิม
  
            เที่ยวหอมปากหอมคอได้ 2 ที่ เสร็จจากที่วัดได้เวลาขึ้นดอยไปฟาร์ม Leehu กันแล้ว กิจกรรมที่ฟาร์มเริ่มบ่ายสาม เราต้องไปถึงให้ทันคะ เดี๋ยวคนอื่นๆ จะมองตาขวางถ้าเราไปถึงช้า พอถึงก็เช็คอิน เอากระเป๋าเข้าห้องพัก แล้วก็ออกมารอที่ร้านกาแฟของฟาร์ม หยิบตะกร้าคนละใบ สะพายหลัง ไปเก็บเมล็ดกาแฟกันค่า




            เจ้าของฟาร์มเริ่มแนะนำตัว ประวัติความเป็นมาของฟาร์ม สายพันธ์ุของเมล็ดกาแฟที่ปลูก ปีนี้ต้นเชอร์รี่ออกผลน้อย ต้นไม่ค่อยดก มีให้เก็บไม่เยอะ ที่นี่มี 2 สายพันธ์ุคืออาราบิก้าสีแดงและอาราบีก้าสีเหลือง เจ้าของขู่ว่าถ้าเก็บไม่เต็มตะกร้าไม่ให้ทานข้าว (ล้อเล่น) ก็เก็บกันขำๆ สนุกๆ แหละ ผ่านโซนต้นเชอร์รี่ ก็เจอแปลงผักสลัดที่ใช้ทำอาหารในฟาร์มและส่งขายโครงการหลวงด้วย มีแปลงสตอเบอรี่ซึ่งเจ้าของให้เก็บกินได้ด้วย แต่ก็ไม่กล้ากินแบบไม่ล้างถึงแม้จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีใดๆ ก็ตาม








            เดินอ้อมบึงกลางฟาร์มมาบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ กิจกรรมปิดท้ายของวันนี้คือให้อาหารหมูดำกัน คิดในใจว่าเขาจะเอาหมูนี้มาทำอาหารมื้อเย็นให้เราทานมั๊ยเน้อ เสร็จจากนี้ก็แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย พอแดดหุบแล้วอากาศเย็นลงมาก ต่างกลับกลางวันโดยสิ้นเชิง บรรยากาศในฟาร์มดี๊ดี กระโจมริมบึงที่เห็นในรูปข้างล่างพักได้ 4-6 คน ถ้าสั่งหมูกระทะ ก็จะเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ กระโจมเลย เป็นส่วนตัวดี มื้อเย็นวันนี้รวมอยู่ในแพคเกจแล้วซึ่งจะเป็นอาหารพื้นเมืองชนเผ่าอาข่า ดูรูปกันเลยว่าน่าทานขนาดไหน เสิร์ฟเป็นแบบไลน์บุฟเฟ่นะคะ ตักกันได้ตามใจชอบ ขอบอกน้้ำพริกแมคคาดิเมียอร่อยม๊ากกกกกก ติดใจถึงขนาดเดินไปถามพนักงานว่ามีใส่กระปุกขายให้ซื้อกลับบ้านมั๊ย




            กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายเข้าที่พัก นัดกับเพื่อนจะออกมาดูดาวกันคืนนี้ จบวันแรกเท่านี้นะคะ เดี๋ยว Day 2 จะตามมาเร็วๆ นี้ รอดูกันว่ากิจกรรมจะแน่นและสนุกขนาดไหน