จุดเริ่มต้นมาจากเรามีเพื่อนคนไทยซึ่งทำงานอยู่ในแอฟริกาใต้ได้บอกว่า "แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีภูมิประเทศสวยงามมากนะเธอ โดยเฉพาะเมืองเคปทาวน์ เธอมาเที่ยวสิ" เพื่อนเราพูดชวนแบบนี้ทุกปี จนกระทั่งถึงปีสุดท้ายที่เพื่อนจะทำงานอยู่ที่โน่น เราเลยเริ่มหาข้อมูลอย่างจริงจังและตัดสินใจที่จะไป ขอบอกเลยว่าไปเที่ยวแอฟริกาใต้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าทำวีซ่านะจ๊ะ มันเริ่ดก็ตรงนี้ด้วยแหละ...
สิ่งแรกที่เราทำคือกำหนดวันเดินทางและหาตั๋วเครื่องบิน เราเลือกเดินทางวันที่ 23-31 ตุลาคม ที่เลือกเดินทางเดือนนี้เพราะเพื่อนแนะนำว่าช่วงเดือนนี้มีดอกไม้สีม่วงบาน ทั้งที่เมืองพริทอเรียและโจฮันเนสเบิร์ก ทำให้วิวตามท้องถนนสวยงามกว่าเดือนอื่น ในการจองตั๋วเครื่องบินเราได้โปรโมชั่นของ Etihad Airways ตั๋วไปกลับกรุงเทพ - โจฮันเนสเบิร์ก 29,xxx บาท โอ้ววว...ถึงกับตาลุกวาว ราคานี้ไม่จองไม่ได้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เราเข้าเว็บ skyscanner เช็คราคาตั๋วเครื่องบินอยู่เรื่อยๆ แบบบินตรง ราคาอยู่ที่ 4 หมื่น++ ของการบินไทย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11-12 ชม. แบบเปลี่ยนเครื่อง ราคาอยู่ที่ 3 หมื่นปลายๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นสายการบินแขก รวมเวลาเปลี่ยนเครื่องแล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 17-18 ชม. พอได้ตั๋วไปแอฟริกาใต้แล้ว เราก็ต้องหาตั๋วภายในประเทศ โจฮันเนสเบิร์ก - เคปทาวน์ ด้วย สายการบินแห่งชาติของแอฟริกาใต้ ราคาประมาณ 10,xxx-12,xxx บาท หากเป็นสายการบิน Low Cost อย่าง Mango Airlines ราคาประมาณ 8-9 พันบาท และ Kulula Airlines ราคาอยู่ที่ 5-7 พันบาท แน่นอนเราเลือกสายการบิน Kulula เพราะราคาถูกกว่า
หลังจากได้ตั๋วราคาถูกมาครอบครอง เราก็เริ่มหาข้อมูลกันอย่างหนัก ไปเดินตามร้านหนังสือเจอคู่มือท่องเที่ยวประเทศแอฟริกาอยู่เล่มเดียว ในพันทิปก็มีคนเขียนไว้น้อยมากและก็นานมากแล้วด้วย แถวๆ ปี 2008-2010 ไรงี้ เลยต้องพึ่งเว็บภาษาอังกฤษซะส่วนใหญ่ บวกกับถามเพื่อนคนไทยที่อยู่ที่โน่นเอา สำหรับคนที่จะไปเที่ยวเองโดยไม่ง้อทัวร์ วิธีเที่ยวที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือ การเช่ารถขับเที่ยวเอง หรือเช่ารถพร้อมคนขับ ซึ่งอย่างหลังราคาจะแพงกว่า เนื่องด้วยสมาชิกในทริปนี้เป็นผู้หญิงกันส่วนใหญ่ มีผู้ชายเพียงคนเดียว เราจึงคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะแอฟริกาใต้มีชื่อเสียงมากในเรื่องอาชญากรรมติดอับดับต้นๆ ของโลก แบบว่าการจี้ปล้นคนและรถมีให้เห็นในข่าวบ่อยๆ เราเลยเลือกที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่อเช่ารถพร้อมคนขับซึ่งเป็นคนท้องถิ่นที่รู้ดีว่า จุดไหนอันตราย จุดไหนปลอดภัย บอกราคากันนิดนึงสำหรับค่าเช่ารถพร้อมคนขับ ราคาต่อวัน 350 USD รวมค่าน้ำมันแล้ว แต่ไม่รวมค่าทิป แนะนำให้ควรหาเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป เพื่อให้ค่าใช้จ่ายเช่ารถต่อหัวถูกลง
ไม่แนะนำให้เที่ยวแบบ Backpack เพราะที่แอฟริกาใต้การขนส่งสาธารณะไม่เอื้ออำนวย ที่ Pretoria และ Johannesburg ไม่มีรถเมล์สาธารณะ มีแต่แทกซี่สาธารณะซึ่งเป็นรถตู้และมีแต่คนผิวดำขึ้นเท่านั้น คนขาวที่นั่นยังไม่ใช้บริการเลย แล้วคนไทยอย่างเราจะกล้าขึ้นเหรอ ส่วนที่ Cape Town ก็เช่นกัน แต่ดีขึ้นหน่อยที่มีรถเมล์สาธารณะ แต่จะวิ่งแค่ city center เท่านั้น และมีรถเมล์ sightseeing สำหรับนักท่องเที่ยว เป็นรถสีแดง 2 ชั้น แต่ไม่ได้จอดทุกป้ายนะ จอดเป็นจุดๆ เฉพาะแหล่งท่องเที่ยวหลัก
Day 1-3 : Pretoria & Johannesburg - City sightseeing, Safari
หลายคนเข้าใจผิดว่าโจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองหลวง แต่ที่จริงแล้ว พริทอเรีย เป็นเมืองหลวงของแอฟริกาใต้ เที่ยว 2 เมืองนี้เราประหยัดงบไปเยอะ เพราะมาพักบ้านเพื่อนและเพื่อนขับรถพาเที่ยวด้วย วันแรกของการเที่ยวเรารีบแจ้นไปดูดอกไม้สีม่วงบานก่อนเลย ต้นนี้มีชื่อ Jacaranda ถือเป็น Signature ของเมืองพริทอเรียเลย ดอกของต้น Jacaranda นี้จะออกดอกบานสะพรั่งช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลา และปลายเดือนตุลาก็จะเริ่มร่วงและผลิใบสีเขียวขึ้นมาแทน Jacaranda มีอยู่ไม่กี่ประเทศในโลก ที่รู้มาก็มีที่แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย ปีที่เราไปดั๊นออกดอกเร็วกว่าปีก่อน ช่วงที่เราไปถึงมันเริ่มร่วงโรยบ้างแล้ว ถึงแม้จะไม่สะพรั่งเต็มต้น แต่ก็ถือว่าสวยงามทีเดียว
![]() |
Union Buildings |
วันที่สอง เราไปเที่ยว Lion's Park ที่โจฮันเนสเบิร์ก (หลังจากนี้ขอเรียกสั้นๆ ว่าโจเบิร์ก) สวนสิงโตแห่งนี้ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของที่นี่ คนที่มาโจเบิร์กทุกคนต้องไม่พลาดที่นี่ สวนสิงโตแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นสวนสัตว์ปิด ส่วนนี้เปิดให้ผู้เข้าชมใกล้ชิดกับลูกสิงโต เสือชีต้า และชมสัตว์ประเภทอื่นๆ ในส่วนของสวนสัตว์เปิด สามารถขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปชมสัตว์ต่างๆได้ หรือจะใช้บริการรถของทางสวนสัตว์ก็ได้ ก่อนจะเข้าก็ต้องซื้อตั๋ว ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ ทั้งเข้าชมเฉพาะสวนสัตว์ปิด หรือสวนสัตว์เปิด ที่เค้าเรียกกันว่า Game Drive หรือจะแบบผสมทั้งปิดและเปิด สำหรับเราเลือกแบบผสม คือ Guided game drive + Cub interaction ราคา 200 แรนด์ต่อคน โชคดีวันที่เราไปดั๊นลดราคา เหลือแค่ 150 แรนด์ อิอิ หน้าบานเลยตอนซื้อตั๋ว ชอบใจที่ได้จ่ายถูกลง Game Drive จะมีเป็นรอบๆ ยังไม่ถึงเวลา เราเลยไปเข้าคิวรอเล่นกับลูกสิงโตก่อน หน้ากรงจะมีป้ายบอกชัดเจนว่า "การเข้าไปในกรงลูกสิงโตเป็นความเสี่ยงของคุณเองซึ่งทางสวนสัตว์จะไม่รับผิดชอบหากเกิดอันตรายใดๆ" อ่านจบก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เข้าไปแล้วตูจะรอดออกมามั๊ย ?? เจ้าหน้าที่จะปล่อยให้เข้าทีละไม่เกิน 6 คน ให้แขวนสัมภาระไว้ที่ฮุกใกล้ประตูทางเข้า แล้วเดินเข้าไปแค่ตัวกับกล้อง เจ้าหน้าที่จะบอกวิธีสัมผัสลูกสิงโตว่าให้ทำยังไง ให้เวลาอยู่ในกรงแค่ 2 นาทีเท่านั้น จับๆ รูบๆ ถ่ายรูปเสร็จ แล้วก็ออกมา ออกจากกรงแล้วต้องมาล้างมือกับแขนที่สัมผัสกับลูกสิงโต เพื่อสุขอนามัยเพราะมันคือสัตว์ป่าที่ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เกิด คิดดูละกันว่าจะสกปรกและเหม็นขนาดไหน
ลูกสิงโตอายุแค่ 2-3 เดือน |
เจอน้องกวางหลายตัวเลย |
ม้าลาย ยืนเรียงกันเป็นระเบียบเชียว |
พี่เสือชีต้า พี่สิงกินกันอร่อยเลย |
สิงโตขาวพระเอกหนังฮอลีวูดเลยนะตัวนี้ |
วันที่สาม เราออกนอกเมืองไปไกลนิดนึง เพื่อไปซาฟารีที่ Pilanesberg National Park เป็นอุทยานแห่งชาติที่อยู่ใกล้โจเบิร์กมากที่สุด ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ 2 ชม. ระหว่างทางผ่านเขื่อน Hartbeespoort คนขับใจดียอมแวะจอดให้ลงไปถ่ายรูปกัน แถมย้ำว่าปกติไม่เคยจอดให้ใครลงนะเนี่ย บริเวณที่จอดเป็นไหล่ทาง เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะ แบบว่าต้องรีบถ่ายกัน แล้วกระโดดขึ้นรถ น้ำในเขื่อนสีสวยมากเลย มีบ้านเรียงรายอยู่ตีนเขา ให้อารมณ์เหมือนยุโรปเลย เสียดายที่ไม่ได้เดินเที่ยวชมในเขื่อน ผ่านเขื่อนมาได้ก็แวะทานข้าวกลางวันที่ Sun City เป็น entertainment complex มีสนามกอล์ฟ คาสิโน สวนน้ำ รีสอร์ท ถึงแม้ไม่ได้พักที่ Sun City เค้าก็ให้เข้าไปถ่ายรูปได้ โดยต้องเสียค่าผ่านทางเข้าไป
Hartbeesport Dam |
มุมมหาชนในซันซิตี้ |
ทะเลเทียมที่เหมือนจริงมาก |
อีกมุมมหาชนในซันซิตี้ |
ออกจากซันซิตี้มา ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึง Pilanesberg National Park ค่าเข้าคนละ 65 แรนด์ และ 20 แรนด์ต่อคัน ซื้อตั๋วกันเสร็จก็ถึงเวลาที่เราจะมาตามล่าหา Big 5 กันแล้ว ซึ่งมีสิงโต แรด ควายป่า ช้าง เสือดาว มาลุ้นกันมาเราจะเจอครบมั๊ย คนขับบอกว่าอุทยานนี้กว้างใหญ่มาก ไม่สามารถไปได้ทั่วภายใน 1 วัน เรามีเวลาอยู่ในอุทยานประมาณ 2 ชม. ซึ่งไปได้แค่ 1 ใน 6 ของพื้นที่ทั้งหมดของอุทยานเท่านั้น
จบ Game drive ที่ Pilanesberg ด้วยความประทับใจ ถึงแม้จะไม่เห็น Big 5 ครบ แต่ก็ได้เห็นตั้ง 3 ชนิด คือ แรด ช้าง และสิงโต ซึ่งถือว่าโชคดีมากได้เห็นเป็นฝูง เพราะปกติสิงโตมันจะนอนประมาณ 15-20 ชม. ยากที่จะเห็นกัน บอกเลยว่าฟินมาก ฟินกว่าตอนที่นอนอยู่บ้านดูสารคดีช่อง Discovery หรือ National Geographic หลายเท่า
Day 4 : Capetown - Table Mountain (One of new 7 wonders of nature)
เที่ยวบินจากโจเบิร์กมายังเคปทาวน์ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. เครื่องลงจอดปุ๊บ โทรหาคนขับรถก่อนเลย ยู ยู ไอมาถึงแล้วนะ เจอกันตรงไหนดี? คนขับรถเราเป็นคนเชื้อสายอินเดียที่อพยพไปอยู่แอฟริกาใต้ สำเนียงภาษาอังกฤษไม่มีสำเนียงแขกเลย ฟังง่าย ที่ประทับใจอีกอย่างคือนางสามารถเป็นไกด์ได้ด้วย มีบัตรไกด์ถูกต้องตามกฎหมาย พอออกจากสนามบินก็ตรงไป Table mountain กันเลย คนขับบอกว่าวันนี้สภาพอากาศเป็นใจ ควรขึ้นภูเขาวันนี้เลย เพราะไม่รู้วันที่เหลือสภาพอากาศจะดีแบบวันนี้รึเปล่า ระหว่างเดินทางไป Table mountain คนขับก็จองตั๋วออนไลน์ขึ้นเคเบิลให้เสร็จ ถึงปุ๊บเดินเข้าได้เลย คิวของตั๋วออนไลน์ไม่มีคนเลย ประหยัดเวลาต่อคิวซื้อตั๋วไปได้เยอะ ใครที่เป็นสาย trekking หรืออยากทดสอบความฟิตของร่างกายจะเดินขึ้นก็ได้นะคะ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ในส่วนตัวเคเบิลนั้น พื้นจะหมุนได้ 360 องศา คุณสามารถเก็บภาพวิวได้ทุกๆ มุมเลย จากจุดปล่อยเคเบิลใช้เวลาประมาณ 5 นาทีก็ถึงด้านบน ดังนั้นขาแชะทั้งหลายมีเวลาแค่ 5 นาทีในการถ่ายรูป กดกันรัวๆ ไปเลยจ้า ซื้อตั๋วขึ้นเคเบิลได้จากเว็บไซต์นี้คะ www.tablemountain.net
คิวยาวๆ ที่เห็นคือรอซื้อตั๋ว |
เมืองเคปทาวน์นี่ขึ้นชื่อเรื่องอากาศแปรปรวนมาก วันที่มีลมแรงทางเจ้าหน้าจะโหลดถังน้้ำเข้ากระเช้า เพื่อถ่วงน้ำหนักไม่ให้กระเช้าแกว่ง หากลมไม่แรงก็จะเอาถังน้ำออก มั่นใจได้ว่ากระเช้าจะไม่แกว่งให้ได้หวาดเสียวกัน ใครวางแผนมาเที่ยวสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกแห่งนี้ ให้เวลาไปเลยคะ 3-4 ชม. ด้านบนมีร้านขายของที่ระลึก "Shop At The Top" และร้านอาหาร "Table Mountain's Cafe" เดินกันเหนื่อยแล้วมาพักเติมพลัง หรือนั่งจิบชาชมวิวสวยกันได้คะ
วิวมหาชน |
เสร็จจาก Table Mountain ก็ไปเช็คอินที่โรงแรม V&A Marina Waterfront เราเลือกแบบ service apartment มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องรับแขก และครัว ห้องสะอาด แต่งสวย ดูกว้างขวาง พักผ่อนกันพักใหญ่ก็ออกไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Signal Hill ที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดในเคปทาน์ แต่โชคไม่เข้าข้าง ไปไม่ถึงเพราะรถติดมาก คนขับรถเลยพาไปจุดอื่นแทน
Day 5 : Capetown - Cape Point Route ไปจุดปลายสุดของทวีปแอฟริกาใต้กัน
เริ่มต้นเส้นทางที่ Camps Bay ฺฺBeach ขับรถมา 15 นาทีจาก city center ย่านนี้เป็นย่านคนรวย บ้านแถวนี้หลังจะติดเขา Twelve Apostles และหันหน้าเข้าหาทะเลแอตแลนติก
เดินทางกันต่อไปที่ Hout Bay เพื่อขึ้นเรือไปดูแมวน้ำ เราเลือกเรือเที่ยวแรกเลย มีข้อควรระวังนิดนึง ระหว่างรอขึ้นเรือจะมีคนคอยเรียกแมวน้ำให้มาใกล้ฝั่ง อย่าได้ถ่ายรูปแมวน้ำตรงนั้นเด็ดขาด เพราะคนนั้นจะรี่เข้าหาคุณและเรียกเอาเงินทันที เกือบแล้วเรา โชคดีเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นโดน เราเลยเก็บกล้องเข้ากระเป๋าไปเลย เรือจะขับพาเราไปใกล้ๆ เกาะกลางทะเล แมวน้ำจะอยู่บริเวณนั้นเป็นพันๆ ตัวเลย บางตัวจะขึ้นมาพักผ่อนนอนผึ่งกันบนเกาะ บางตัวก็ว่ายน้ำเล่นกันสนุกสนาน วันที่ไปหมอกลงเยอะมาก ถ่ายรูปแมวน้ำได้ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ กลับเข้าฝั่งมา บริเวณท่าเรือจะมีคนแสดงโชว์ และมีร้านขายของที่ระลึก วางขายกันที่พื้นเลย ต่อรองราคาได้
มื้อกลางวันไปแวะทานข้าวที่ไร่ไวน์ Groot Constantia คนชอบไวน์ไม่ควรพลาดกับการชิมไวน์ จัดเป็นรอบๆ เช็คตารางการเทสไวน์และเมนูอาหารได้ที่เว็บไซต์ www.grootconstantia.co.za ไวน์ที่แอฟริกานี่ราคาถูกมาก เราซื้อไวน์กลับ 2 ขวดแพคอย่างดีลงในกระเป๋าเดินทาง แล้วไปซื้อ Amarula cream ที่ duty free สนามบิน Amarula cream มันจะคล้ายๆ Baileys ได้จากการหมักผลไม้ชื่อ Marula และมาผสมกับครีม มีเรื่องเล่าอยู่ว่าช้างแอฟริกาได้กินผลไม้ชนิดนี้เข้าไปแล้วช้างเมา เลยเป็นที่มาของการเอา Marula มาทำเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลไม้ Marula นี้ขึ้นที่ประเทศแอฟริกาใต้เท่านั้น ไปถึงโน่นกันแล้วอย่าพลาดที่จะลองชิมกันนะคะ
ท้องอิ่มกันแล้วก็เดินทางต่อ จุดมุ่งหมายต่อไปคือ Boulder's Beach อาณาจักรของเพนกวิน คนขับเล่าให้ฟังว่า แอฟริกันเพนกวินเป็นสัตว์ที่รักเดียวใจเดียว หากมันเลือกคู่ของมันแล้ว มันจะไม่ไปยุ่งกับตัวอื่นเลยตลอดชีวิตมัน
สำหรับ Cape point เราไปถึงบ่ายแก่ๆ กลัวจะเที่ยวได้ไม่ครบ จึงเลือกซื้อตั๋วรถรางขึ้นไปเพื่อประหยัดเวลา และเดินเท้าต่อไปจนถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่า Cape Point Light House ระหว่างทางเดินขึ้นวิวหลักล้านเลยทีเดียว ณ จุด Cape of Good Hope หากหันหน้าออกทะเลทางฝั่งขวาเป็นทะเลแอตแลนติกและฝั่งซ้ายเป็นทะเลอินเดีย สมัยเรียนมัธยมจำคำว่า "แหลมกู๊ดโฮป" ขึ้นใจตอนเรียนภูมิศาสตร์ และวันนี้ก็ได้มาเหยียบสถานที่จริง
มุมมหาชน |
มุมมหาชน |
พอถึงตัวเมืองพระอาทิตย์ตกพอดี ท้องก็เริ่มร้อง วันนี้ไปมาหลายที่ใช้พลังงานไปเยอะ เราบอกคนขับรถว่าอยากทานอาหารจีน เพราะเบื่ออาหารฝรั่งแล้ว ให้พาไปร้านอาหารจีนอร่อยๆ หน่อย แล้วก็สมใจอยาก อร่อยทุกจาน หรือว่าหิวก็ไม่รู้ 555
Day 6 : Capetown - Garden Route & Wine Route
ก่อนออกไปนอกเมือง แวะเที่ยวในเมืองกันสัก 2-3 แห่ง เริ่มที่ชุมชนชาวมุสลิมบ้านสีสันสดใส เป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายรูป ต่อด้วย City Hall และ Castle of Good Hope โชคดีที่มาทันดูทหารเดินแปรขบวน
เที่ยวเสร็จในเมือง เราก็ไปต่อกันที่ Kirstenbosch National Botanical Garden สำหรับเราแล้ว เราว่าสวนแห่งนี้เป็น Botanic Garden ที่สวยที่สุดเท่าที่เราเคยไปมา ดอกไม้ ต้นไม้ ทัศนียภาพ คือดีงามไปหมด มาถึงสวนแล้วห้ามพลาดโซน Tree Canopy Walkway เป็นสะพานคดเคี้ยวให้ชมวิวในมุมสูง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.sanbi.org/gardens/kirstenbosch/
ช่วงบ่ายวางแผนไปเที่ยว Wine land 2 เมือง คือ Stellenbosch และ Franschhoek เที่ยวชมบรรยากาศไร่องุ่นและชิมไวน์ ซึ่งจะมี Tram รถราง พาชมทั้ง 2 เมืองและแวะเป็นจุดๆ ให้เที่ยว พอถึงเมืองปุ๊บรีบลงจากรถไปซื้อทัวร์ Tram เจ้าหน้าที่บอกว่าคุณมาช้าไป Tram เที่ยวสุดท้ายออกไปแล้ว เลยได้ไปเดินเล่นในเมืองแทน เสียดายฝุดๆ สำหรับคนที่อยากตามรอย ไปเช็คราคาและ Tram schedule ได้ที่เว็บไซต์ http://winetram.co.za/ วันนี้เลยกลับเข้าเมืองเคปทาวน์ด้วยความผิดหวัง เราจะไปเก็บวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ Signal Hill ที่พลาดในวันแรก และความผิดหวังมันก็หายไป หัวใจเริ่มพองโตขึ้นมาเมื่อไปถึง Signal Hill และได้เห็นวิวกับแสงทไวไลท์บนเขาที่สวยงามและโรแมนติกมากๆๆๆ (อยากใส่ ๆ ซักล้านตัว) มีคู่รักหลายคู่เอาไวน์ขึ้นไปดื่มระหว่างดูพระอาทิตย์ตกดิน และก็จูจุ๊บกัน เห็นแล้วตาร้อนผ่าว
Day 7 : Capetown - Eat, Shop and chill out at Victoria & Alfred Waterfront
Victoria & Alfred Waterfront หรือ V&A Waterfront สโลแกนของที่นี่คือ " Where the city meets the sea" เป็นสถานที่ที่สวยงาม มีมุมถ่ายรูปเยอะ ถ่ายสวยทั้งกลางวันและกลางคืน ร้านอาหารเยอะมาก หลากหลายประเภท มีห้างให้ช๊อปปิ้งชื่อ Victoria Wharf และมีชิงช้าแบบ London Eye หรือ Singapore Flyer หรือชิงช้าสวรรค์ในบ้านเรา
วันสุดท้ายแล้วสินะ ยังไม่อยากกลับเลย เที่ยวยังไม่ครบ ไม่อยากเชื่อว่า 4 วันจะไม่พอสำหรับเมืองนี้ ทริปนี้ 8 วัน 7 คืน (23-31 ตุลา 2558) ใช้เงินไปทั้งหมด 65,000 บาท
Must buy items from South Africa
1. Wine - ไปถึงแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก ราคาถูกขนาดนี้ ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว
2. Amarula cream - คนชอบ Baileys น่าจะชอบสิ่งนี้ด้วย
3. Rooibos tea - เป็นชาสีแดง ไม่มีคาเฟอีน มี Antioxidant สำหรับคนที่ปวดประจำเดือน ชาตัวนี้ช่วยคุณได้ โดยดื่ม 1 อาทิตย์ก่อนประจำเดือนมา จะปวดน้อยลงหรือไม่ปวดเลย สำหรับเราตั้งแต่ดื่มชานี้ ไม่ต้องกินยาแก้ปวดประจำเดือนอีกเลย
4. Bio-Oil - ตัวนี้สรรพคุณดีเลิศ ราคาถูกกว่าไทยเยอะ